เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๓ ก.พ. ๒๕๔๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันมาฆบูชา ในศาสนาพุทธเราวันวิสาขบูชาสำคัญที่สุด เพราะวันวิสาขะเป็นวันองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิด แล้วตรัสรู้ ปรินิพพาน แล้วเผยแผ่ธรรมมา วันมาฆบูชาเป็นวันของธรรม ธรรมเพราะอะไร? ธรรมเพราะว่าพระ ๑,๒๕๐ องค์เป็นพระอรหันต์ เป็นการยืนยันไง เวลาเรามีสินค้าต่าง ๆ เรามีสิ่งใดที่เป็นของดีเราเสนอไป สังคมจะยอมรับไม่ยอมรับนั้นมันเป็นความเห็นของเขา

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมไป ปัญจวัคคีย์บรรลุธรรมขึ้นมาก่อน บรรลุธรรมขึ้นมา ในศาสนาของเรา มนุษย์ต่างกับสัตว์ตรงนี้ไง ถ้าสัตว์นะ สัตว์บางตัวก็เกเรมาก สัตว์บางตัวก็เป็นสัตว์ที่ดี มนุษย์ก็เหมือนกัน มนุษย์ที่เกเร มนุษย์ที่ดีก็มี คนร่ำรวยมั่งมีเป็นคนดีก็มีเป็นคนเลวก็มี คนทุกข์คนเข็ญใจเป็นคนดีก็มีเป็นคนเลวก็มี คนดีคนเลวมันอยู่ที่ไหนล่ะ? มันอยู่ที่ความรู้สึก มันอยู่ที่ความนึกคิดของเขา จิตนี่สำคัญมากเลย ความรู้สึกนึกคิดภายในหัวใจนี่ แล้วอะไรไปควบคุมมันล่ะ?

ศาสนาสำคัญตรงนี้ไง สัตว์มนุษย์ประเสริฐกว่าสัตว์เดรัจฉานทั่วไป เพราะมันมีสติมีสัมปชัญญะแบ่งแยกสิ่งนี้ได้ แล้วมันเข้าไปศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ไง นี่สัตว์เดรัจฉานเขาก็ทำคุณงามความดีของเขานะ เขาเกิดมา ดูสิเวลาเราพูดเปรียบเทียบกัน สัตว์มันก็ยังมีสัญชาตญาณของมัน มันก็ยังรักลูกของมัน สัตว์มันก็ดูแลของมัน นี่เป็นสัตว์มันก็ยังรักลูกของมัน มันมีหมู่คณะของมัน มันเป็นสัตว์ที่ดีก็มี อันนั้นมันเป็นบุญเป็นบาปของเขา เป็นบุญเป็นบาปตรงไหน? เป็นบุญเป็นบาปเพราะว่าถ้าเราสร้างคุณงามความดีนี่จริตนิสัย เช่น พันธุ์พืชพันธุ์ไม้ มันเป็นพันธุ์ใดมันก็เป็นสภาพพันธุ์นั้นไป

จิตก็เหมือนกัน จิตถ้ามันทำคุณงามความดีมา มันสะสมมามันเป็นพันธุ์ที่ดี ถ้าเป็นพันธุ์ที่ดีเกิดมาเป็นเด็กก็เด็กดี เวลากรรม เห็นไหม พ่อแม่ทางวิทยาศาสตร์ เขาบอกเวลาเราท้องเราต้องทำอารมณ์ให้แจ่มใส เพื่อให้เด็กเราดีเด็กแจ่มใสขึ้นมาในอารมณ์ แต่ความจริงมันยิ่งกว่านั้นนะ เพราะจิตปฏิสนธิ เวลาพ่อแม่ เห็นไหม ขณะที่พ่อแม่จิตมีความสุขมากนี่บาลานซ์กันไง

เด็กที่จะมาเกิด ดูสิ ในทางธรรมนะ สังเกตได้ไหม ในโลกคนทุกข์คนเข็ญใจลูกหลานมหาศาลเลย คนมั่งคนมีลูกหลานหาไม่ค่อยได้นะ เขาเป็นทุกข์เป็นร้อนกันว่าไม่มีคนสืบญาติสืบสกุลของเขา พ่อแม่หาไว้ให้ ลูกเกิดมาไม่ต้องทำอะไรเลยได้รับมรดกตกทอด

นี่ก็เหมือนกัน เราเป็นศากยบุตรสืบทอดสืบสกุลขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศากยบุตรบุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นศากยะ เป็นกษัตริย์ นี่สิ่งที่ตกทอดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกข์ยากเข็ญใจเพื่อจะค้นคว้าสิ่งนี้ขึ้นมา แล้วเวลาเทศนาว่าการไป พระ ๑,๒๕๐ องค์เป็นพระอรหันต์ทั้งหมดเลย

สิ่งที่เป็นพระอรหันต์ เพราะกำจัดความดีและความชั่วนะ เรานี่เด็กดีเด็กชั่วหรือคนดีคนเลวมันเป็นที่ความคิดข้างในหัวใจ แต่ธรรมไปทำลายสิ่งนี้หมดเลย ทำความบาดหมางในหัวใจ ความบาดหมางสิ เวลาเราคิดกระทำสิ่งใด เช่น เราคิดทำในสิ่งที่ไม่ดีเราต้องวางแผนไหม? เราต้องวางแผน เราทำสิ่งที่ดีเราต้องวางแผนไหม? เราต้องทำโครงการในหัวใจเราไหม?

สิ่งนี้ทำความบาดหมางในหัวใจ ความคิดดีคิดชั่วในหัวใจมันกระทืบ มันเหยียบย่ำหัวใจ คิดดีก็มีความรื่นเริงเป็นสุข คิดชั่วมันก็เหยียบย่ำในหัวใจ สิ่งที่มันบาดหมางมันต่อสู้กันในหัวใจ อันนี้มันเป็นความสงบในหัวใจ เช่น ก่อนหน้านี้อากาศร้อนมาก เวลาฝนตกมามันร่มเย็นเป็นสุข

นี่ก็เหมือนกัน สังคมเรารุ่มร้อนมาก แต่ด้วยธรรมะนี่จะทำให้ร่มเย็นเป็นสุข ธรรมะอะไร? ธรรมะเพราะทำให้คนถึงจะกระทำเคลื่อนไปก็ขับเคลื่อนที่ดีนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงเทศนาว่าการข่มขี่กับเจ้าลัทธิต่าง ๆ ถ้าทำความผิดพลาด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะบังคับ

ดูสิ ดูอย่างลูกศิษย์ของพระสารีบุตรมาเยี่ยมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาส่งเสียงดังกันในวิกาลในกลางคืน ในกาลนั้นต้องการความสงบ แล้วเวลามาถึงค่ำ มาจัดที่กันเพื่อจะเข้ามาพักในกุฏิ ส่งเสียงดัง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามพระนาคิตะ เพราะในสมัยนั้นพระนาคิตะเป็นผู้อุปัฏฐากเหมือนพระอานนท์ ตอนนั้นพระอานนท์ยังไม่อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาคิตะเป็นผู้ที่อุปัฏฐากอยู่

“นาคิตะ นั่นเสียงของใคร? ดั่งชาวประมงเขาหาปลากัน” ชาวประมงเขาทำอาชีพของเขา เขาต้องลงแรงของเขา เขาทำงานเสียงมันดัง เห็นไหม นี่อย่างชาวประมงเขาหาปลากัน

พระนาคิตะบอก “เป็นพระบวชใหม่ พระลูกศิษย์ของพระสารีบุตรจะมากราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ให้ไล่ออกไป ไล่ออกไป”

นี่เวลาถึงที่ควรรุนแรงควรจะตักเตือนกัน มันตักเตือนได้ ไม่ใช่ว่าจะนิ่มนวลไปหมด มรดกตกทอดมานี่เป็นธรรม เวลาธรรมนี่ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สภาวธรรม เห็นไหม ทำความสงบของใจ ใจมันสงบขึ้นมา เราจะว่าความสงบนี่เราคิดกันเอาเอง เราคิดโดยหัวใจของเราว่าเรานอนจม เราทำจิตของเราให้มันเคลิบเคลิ้มไปแล้วเป็นสมาธินะ ตอนนี้การทำสมาธิกันทำด้วยให้มันเคลิบเคลิ้มกันไป

มันไม่ใช่สมาธิหรอก ถ้าสมาธิขึ้นมาจิตมันต้องมีสติ เช่น น้ำเดือด เราเอามือจุ่มลงไปน้ำมันร้อนไหม? ...ร้อน น้ำเย็นเราเอามือจุ่มไปมันไม่ร้อนใช่ไหม? นี่ก็เหมือนกัน จิตที่มันเป็นสมาธิมันมีพลังงาน มันเหมือนกับน้ำร้อนน้ำเดือด น้ำร้อนน้ำเดือดเราทำอาหารการกินก็ได้ เราจะต้มน้ำก็ได้ ทำอะไรก็ได้ เป็นประโยชน์กับเรา

จิตก็เหมือนกัน ถ้ามันสงบขึ้นมา มันมีพลังงานของมัน แต่นี่มันอยู่เฉย ๆ ปฏิบัติแล้วก็อยู่เฉย ๆ แล้วก็คิดกันเองว่านี่เป็นสมาธิ นี่เป็นกำลังของใจ ๆ มันขาดสติ เห็นไหม การประพฤติปฏิบัติมันเป็นปัจจัตตัง ในหัวใจมันต้องมีสภาวะที่มันมีกำลังของมัน ถ้าจิตมีกำลังของมัน จิตนี่ ศีล สมาธิ ปัญญา สมาธิตัวนี้จะเข้าไปทำลายไอ้ความบาดหมางในหัวใจไง ดูสิ ดูน้ำเดือดมันมีความร้อนของมัน มันทำให้อาหารสุกขึ้นมาได้

สมาธิก็เหมือนกัน มันจะมีตัวของมันเอง มันถ้าสงบบ่อย ๆ ครั้ง มีสติบ่อย ๆ ครั้งเข้า มันจะเป็นเอกัคคตารมณ์ จิตมันจะตั้งมั่น ถ้าจิตตั้งมั่นนะน้อมนำออกไปเสวยอารมณ์ เวลาความคิดนี่แขกจรมา ๆ ความคิดนี่มันแขกจรมาไม่ใช่เราหรอก เวลาเราคิดขึ้นมาเราทุกข์ขึ้นมานี่มาจากไหน? มันมาจากหัวใจเรา มันเป็นสิ่งที่เกิดดับในหัวใจ ถ้าไม่มีหัวใจมันเกิดดับได้ไหม?

เกิดดับได้ อย่างเช่นคอมพิวเตอร์ เช่น ทีวี มันก็เกิดดับของมัน แล้วมีใครแคร์ความรู้สึกของมันล่ะ เพราะมันไม่มีจิตไง แต่จิตของเราความรู้สึกของเรา มันรองรับสิ่งนี้ รับความดีความชั่วอย่างนี้มันเกิดดับในหัวใจ สิ่งที่เกิดดับในหัวใจ มันเกิดดับ ๆ อยู่นี่ ถ้ามีสติสัมปชัญญะมันเสวยอารมณ์ จิตนี่ออกรับรู้ ถ้าไม่มีจิต เช่น เรานั่งอยู่สบายใจนี่เวลาเราเห็นภาพต่าง ๆ เราก็ไม่รับรู้สิ่งนั้น เราไม่รับรู้ทั้ง ๆ ที่เห็นนะ แต่ไม่รู้ว่าอะไร? เพราะจิตมันไม่ออกรับ นี่อายตนะ

เรารู้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ตัวใจนี่เป็นตัวพลังงาน ถ้าคนนอนหลับมันไม่รับรู้สิ่งใด แต่มันก็ยังฝันเพราะจิตมันมีกำลังของมันอยู่ ตัวใจนี่สำคัญมาก มันถึงทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าทำความสงบของใจเข้ามามันต้องมีสติเข้ามา ถ้ามีสติเข้ามามันจะเป็นสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิแม้แต่จิตสงบ มันก็มีความร่มเย็นเป็นสุขถึงกับว่าสิ่งนี้เป็นนิพพานได้เลยล่ะ ขณะที่จิตสงบนะ

แต่เวลาถ้ามันเคลิ้ม ๆ ไป มันจะมีอะไรล่ะ? มันก็เคลิ้ม ๆ ไป มันเป็นมิจฉานะ สิ่งที่เป็นมิจฉา เวลาบอกว่าจิตนี้เป็นอุเบกขา ๆ อุเบกขามันจะออกเสวยอารมณ์ อุเบกขามีสติไม่มีสติอีก ถ้าอุเบกขามีสติ สตินี้มันจะออกรับรู้ มันจะออกตามสตินี้ออกไป แล้วเวลามันเสวยอารมณ์ เสวยอารมณ์คือเสวยความคิดไง ถ้าไม่เสวยอารมณ์จะคิดขึ้นมาไม่ได้

ถ้าคิดสิ่งนี้ขึ้นมานี่ อันนี้มันเป็นธรรมในหัวใจไง ถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นมานี่ฝนตก ขณะที่ฝนตกความร่มเย็นเป็นสุขในพืชพันธุ์ธัญญาหารมันจะเกิดประโยชน์ของมันใช่ไหม นี่เวลาธรรม อริยธรรมเกิดในหัวใจ ฟ้าฝนคะนองในหัวใจ เวลามันใช้ความคิด มันใช้สติปัญญา มันใคร่ครวญภายในหัวใจ มันเหมือนฝนฟ้าตกในหัวใจของเรานะ มันมีความร่มเย็นเป็นสุข มันมีความชุ่มชื่นนะ

แต่ในกิเลสบอก “ไม่ได้” ต้องมีความสงบร่มเย็น ต้องไม่มีเสียงครืนคราน ต้องไม่มีเสียงสิ่งใด ๆ เลยในหัวใจ ต้องเงียบไปตลอด ต้องสงบระงับไปโดยที่ไม่มีสิ่งใดเลย มันเป็นความคิดของกิเลสไง เป็นความคิดของโลก เวลาครูบาอาจารย์เทศนาว่าการนี่ ถ้าเป็นธรรมพุ่งออกมา เป็นความรุนแรงของธรรม แล้วบอกสิ่งนี้เป็นกิเลส

สิ่งที่ต้องสงบเสงี่ยม สงบเสงี่ยมอันนั้นมันก็เป็นกิริยามารยาทของครูบาอาจารย์ อย่างเช่น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เป็นผู้ที่แก้จริตนิสัยได้จะสงบเสงี่ยมมาก ดูสิพระสารีบุตร เขานิมนต์ไปเทศนาว่าการ เวลาก้าวข้ามคลองร่องสวนยังโดดเอา ๆ พระอรหันต์ยังเป็นอย่างนี้ เพราะอะไร? เพราะพระสารีบุตรนี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์ว่าเป็นพระอรหันต์ เป็นอัครสาวกเบื้องขวา ตั้งแต่อัครสาวกลงมานี่ เรื่องจริตนิสัยแก้กันไม่ได้ แต่แก้กิเลสได้

เช่น รถนี่ รถมันจะเป็นรุ่นใด รถมันจะเป็นยี่ห้อใด มันจะเป็นสภาวะใช้งานอย่างไร รถแทรกเตอร์ รถต่าง ๆ มันก็เป็นรถ สิ่งที่เป็นรถ เราจะบังคับให้รถแทรกเตอร์ให้มันเป็นรถเก๋ง เป็นไปได้ไหม? แต่พลังงานของมันก็เป็นสภาวะแบบนั้น นี่มันเป็นจริตนิสัยอย่างนั้น เพราะรถมันไม่มีกิเลสหรอก เพียงคนไปใช้มัน

นี่ก็เหมือนกัน กิริยามารยาทมันไม่เป็นกิเลสหรอก กิริยามารยาทไม่ได้เป็นกิเลสเลย แต่! แต่หัวใจที่ความรู้สึกอันนั้นเป็นกิเลส หัวใจความรู้สึกคือตัวพลังงานนั้น “จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส” เวลามันปล่อยวางต่าง ๆ เข้ามา ปล่อยวางอาการของขันธ์เข้ามา ปล่อยสิ่งต่าง ๆ ที่ไปยึดมั่นถือมั่นจากภายนอก มันปล่อยเข้ามา ๆ มันปล่อยต่าง ๆ เข้ามา ถึงตัวมันเองเป็น “จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส”

จิตเดิมแท้นี้เป็นตัวพลังงานตัวนี้ แล้วทำลายตัวพลังงานตัวนี้ ถ้าพลังงานตัวนี้จบสิ้นกระบวนการไปแล้ว นี่ภวาสวะสถานที่ กิเลสวะ อาสวะ อวิชชาสวะ สิ่งที่เป็นสวะของจิตมันไม่มี พอทำลายเข้าไปแล้ว จิตที่ว่ามันเป็นจิตเป็นความรู้สึกอันนี้พอทำลายแล้วมันกลับผ่องใส ความที่ผ่องใส ๆ นี่มันเป็นตัวอวิชชาตัวพลังงานที่มันเคลื่อนออกไป ไปเสวยอารมณ์ไปรับรู้แขก

รับรู้แขกคือความคิดเรานี่ เวลามันปล่อยเข้ามาแล้ว ปล่อยแขกเข้ามา ทำลายแขกเข้ามา ตั้งแต่โสดาบัน สกิทา อนาคาขึ้นมาเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา แล้วยังไปทำลายตัวมันเองอีก ตัวพลังงานตัวนี้ต้องทำลายตัวพลังงานตัวนี้อีก ตัวพลังงานเป็นตัวฐาน เป็นตัวภวาสวะ เป็นตัวภพ เป็นตัวสถานที่เกิด ตัวจิตเป็นสนธิวนไปเวียนมาในวัฏฏะนี่ ทำลายตรงนี้ทั้งหมด นี่ฝนตกแดดออก เกิดความชุ่มชื่นในหัวใจ มันจะเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา

ถึงที่สุดทำลายที่สุด ความร่มเย็นเป็นสุข ร่มเย็นเป็นสุขมันก็คู่กับทุกข์คู่กับยาก ความสว่างผ่องใสมันก็คู่กับความเศร้าหมอง สิ่งที่ต่าง ๆ เป็นของคู่ ในหัวใจมันทำลายทั้งหมด มันเป็นวิมุตติสุขในหัวใจอันนี้ สิ่งนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ค้นคว้าขึ้นมาเป็นศาสดาของเรา เป็นครูบาอาจารย์ของเรา ค้นคว้าสิ่งนี้ขึ้นมาแล้ววางมรดกตกทอดไว้อยู่นี่

แล้วเราเป็นบริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เป็นผู้รับศาสนาไว้ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้ แล้วเราจะต้องการศาสนาตรงไหน? เวลาเราเข้าไปในบ้านของเรา เรารับมรดกกันมา เราต้องแบ่งสมบัติมรดก เราจะเอาอะไรบ้างล่ะ เราไปเอาต้องของมีคุณค่ามากที่สุด สิ่งนี้พ่อแม่มีอะไรที่มีคุณค่าที่สุด สมบัตินั้นมีคุณค่าที่สุดเราจะเอาสิ่งนั้น ทำไมเราไม่เอาสิ่งที่ไม่มีคุณค่าเลยล่ะ?

เวลาประพฤติปฏิบัติ เวลาถือศาสนาก็จะเอาแต่ของง่าย ๆ กันไง เอาแต่ความพอใจของตัว มันไม่เอาของมีคุณค่า เช่น มีศีล ๕ จะเอาแค่ศีล ๕ ศีล ๘ ไม่เอา ศีล ๑๐ ไม่เอา ศีล ๒๒๗ ไม่เอา ศีล ๒๑,๐๐๐ ไม่เอา ไม่เอาเพราะอะไร? เพราะสิ่งนั้นเป็นข้อบังคับ แต่สิ่งนี้มันเป็นคุณค่านะ คุณค่า... ถ้าศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเกิดมีศีลขึ้นมา มันทำให้จิตนี้มันมีการเปรียบเทียบไง ดูสิ คนดี คนชั่ว เอาอะไรมาเปรียบเทียบล่ะ คนดีคนชั่วเราก็ว่าเราดีหมดล่ะ โจรมันก็ว่ามันดี ทุกคนมันก็ว่ามันดีหมดล่ะ ดีของมัน ดีของกิเลสกับดีของธรรม

แต่ถ้าดี ดีต้องมีศีลมาเป็นเครื่องกรองเครื่องพิสูจน์ว่าดีอยู่ในกรอบของศีลไหม นี่จะองอาจกล้าหาญขนาดไหนต้ององอาจกล้าหาญอยู่ในศีลในธรรม ไม่ใช่องอาจกล้าหาญด้วยกิเลสเที่ยวไปทำลายคนอื่น การทำลายคนอื่นมันเป็นเรื่องของกิเลสทั้งหมด แต่ถ้าเป็นธรรมมันจะเป็นความร่มเย็นเป็นสุข องอาจกล้าหาญอยู่ในศีลในธรรมนี้

เหมือนกับหมอ หมอเขาจะรักษาคนไข้ คนไข้เจ็บไข้ได้ป่วยเขาจะไปหาหมอ หมอจะมียามีวิธีการรักษาอันนั้น นี่ธรรมวินัยก็เป็นอย่างนั้น ธรรมวินัย ๆ ธรรม ๆ อาการของธรรม สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ที่มันเกิดเป็นอนัตตาอยู่นี่ เราตั้งต้นขึ้นมา เราใคร่ครวญขึ้นมา แล้วเราใช้ประโยชน์เราขึ้นมา ตัวศาสนาไงที่ว่ามีคุณค่า มรดกที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้นี่เราจะรับไม่รับ เราจะเอาไม่เอา แล้วเอาจะเอาอะไร? เอามีคุณค่าขนาดไหน?

เพราะอะไร? เพราะสิ่งที่มีคุณค่าขนาดไหนในโลกนี้ เพชรนิลจินดามันก็ผลัดกันชมนะ เจ้าของเพชรนิลจินดาเม็ดใหญ่ขนาดไหน มีคุณค่าขนาดไหน เขาตายไปหมดแล้วเขาเอาไว้ให้ลูกหลานของเขาเป็นมรดกตกทอดกันมา ใครจะเป็นเจ้าของสมบัติในโลกนี้เป็นอามิส แล้วมันเกิดตาย ๆ ในวัฏฏะนี่ไม่มีที่สิ้นสุดหรอก

แต่ถ้าเข้าถึงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แบบพระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ นี่สิ่งนี้เป็นประโยชน์กับใจดวงนั้น เพราะมันจะไม่เกิดไม่ตาย มันเป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่สุด สิ่งที่เป็นนามธรรมแล้วมีคุณค่าที่สุด คือมันตั้งมั่นที่สุด มันไม่เกิดไม่ตายอีกแล้ว แล้วมีวิมุตติสุขเพราะมันไม่มีพลังงานบวกและลบ ดีและชั่วเป็นพลังงานบวกและลบ

ถ้าเรามีพลังงานบวกและลบ นามรูปก็จะเกิด นามรูปจะเกิดจิตก็ต้องหมุนไป เพราะมีนาม มีรูป มีความว่าง มีความกระทบในหัวใจ จิตจะหมุนไปในวัฏฏะตลอดไป แต่ถ้าทำลายตัวจิตแล้ว ทำลายตัวภวาสวะตัวภพ มันไม่มีสถานะที่ตั้ง มันจะมีอะไรกระทบล่ะ มันไม่มีสิ่งที่กระทบ ไม่มี ดาบที่กระทบ มันเป็นวิมุตติ มันเป็นความสุขอันยิ่ง แล้วใครไปทำอย่างนี้ได้ล่ะ มรดกอย่างนี้พระพุทธเจ้าวางไว้

วันนี้เป็นวันยืนยันไง วันมีพยานขึ้นมา พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์มายืนยันกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ปฏิบัติขึ้นมาเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ ก็ยืนยันกัน แล้วเราเป็นบริษัท เป็นศากยบุตร บุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรับมรดกไหม? ถ้ารับมรดก ได้รับมรดกแล้วใช้มรดกนั้นเป็นไหม? มรดกนั้นเกิดขึ้นมาในหัวใจเราไหม? แล้วเราทำขึ้นมาเป็นประโยชน์กับเราไหม?

สิ่งนี้เป็นประเสริฐนะ โลกเป็นเรื่องโลก เป็นที่พึ่งพาอาศัย ดูสิ โลกร้อนมาก โลกเป็นสภาวะแบบนั้น เพราะมีคนดีคนชั่วปนกัน แล้วก็เคลื่อนไปตามกระแสโลก ฝนตกขึ้นมาร่มเย็นเป็นสุข เวลาครูบาอาจารย์เราแสดงธรรม ฝนฟ้าตกขึ้นมาในหัวใจของเราให้มันมีความชุ่มชื่นของเราขึ้นมา แก้...แก้ที่เราก่อน เราดีขึ้นมาก่อน โลกเป็นอย่างนั้น

มันก็ย้อนกลับมาเราน่ากลัวไหม? นี่มันจะเคลื่อนไปอย่างนี้ มันจะหยาบไปอย่างนี้ อีกหน่อยคนจะเข้าไม่ถึงธรรมเพราะอะไร? เพราะทฤษฎีมันจะห่างไป ๆ คนชี้นำมันจะออกไปแค่ประเพณีวัฒนธรรม แล้วก็แค่ประเพณีโลก มันจะเข้ามาไม่ถึงความรู้สึกในหัวใจอันนี้ มันจะไม่เกิดมรรคญาณอันนี้

แล้วธรรมอันนี้จะเตือนใจเราไหม? ถ้าเตือนใจเรา ศาสนามีคุณค่าอย่างนี้ จากใจของเรา จากครูบาอาจารย์ของเรา จากใจถึงใจ จากธรรมถึงธรรม จากความร่มเย็นเป็นสุขในใจของเรา เอวัง